Be There – Be Present

หลังจากเสร็จสิ้นการสอนหลักสูตรโค้ชให้กับองค์กร สิ่งที่มักจะเป็น Reflect เสียงสะท้อน จากผู้เข้าอบรม ที่รู้สึกโดนใจ ผู้เข้าอบรม หนึ่งในนั้น ก็คือ คำว่า Be There อยู่กับคนตรงหน้า และ Be Present อยู่กับปัจจุบัน

ซึ่งสำหรับใครหลายๆ คน คงไม่ปฏิเสธว่า เรารู้สึกว่า คำสองคำนี้ เป็นคำที่เรารู้สึกคุ้นเคย และได้ยินคุ้นหูมากๆ แต่อาจจะไม่ค่อยได้ใส่ใจหรือให้ความสำคัญของความหมาย จนไม่รู้เลยว่า คำสองคำนี้ เป็นคำที่มีความหมายที่ทรงพลังซ่อนอยู่ หากใครสามารถเข้าใจความหมายและดำเนินได้ตามนิยามของคำสองคำนี้ รับประกันได้คุณจะเป็นคนที่มีความสามารถในการสื่อสารเพิ่มขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ และ ยังเป็นคนที่มีเสน่ห์ดึงดูดให้กับผู้คนอยากจะเป็นคู่สนทนาด้วย เพราะ เมื่อคุณสามารถ Be There อยู่กับคนตรงหน้า และ Be Present อยู่กับปัจจุบัน ได้แล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้น โดยไม่รู้ตัว คือ Rapport การสร้างสัมพันธ์เชิงลึก กับคนที่อยู่ตรงหน้า เชื่อได้ว่า คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า ตัวเองจะรู้สึกดี และมีคุณค่า ทุกครั้ง ถ้าเรากำลังเล่าเรื่อง กำลังสื่อสาร และมีใครสักคน แสดงออกซึ่งความตั้งอกตั้ง ใส่ใจ ให้ความสำคัญกับเรา จดจ่อให้ความสำคัญกับเรื่องที่เรากำลังเล่า กำลังสื่อสาร แต่ในทางกลับกัน เราจะรู้สึกไม่ดี รู้สึกเหมือนถูกละเลย ไม่ให้ความสำคัญ ไม่เห็นคุณค่า ถ้าหากเรากำลังเล่าเรื่อง หรือ กำลังสื่อสาร และคนที่เรากำลังต้องการสื่อสารอยู่ด้วยกลับแสดงท่าทางไม่ได้ให้ความสนใจ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องที่เรากำลังเล่าหรือกำลังสื่อสารเอาเสียเลย ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้น คงแทบอยากจะทำให้เรา ในฐานะผู้เล่า หยุดการสื่อสารลงทันที ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ การเชื่อมต่อ ระหว่าง ผู้เล่า และ ผู้ฟัง มันได้ถูกทำให้ขาดลง

นอกจากความสำคัญที่มีผลต่อการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูด และผู้ฟัง แล้ว Be There และ Be Present ยังมีผลต่อประสิทธิผลของการสื่อสารอีกด้วย เพราะสิ่งที่จะทำให้ผู้ฟัง ได้ยินสิ่งที่ผู้พูด พูดออกมาได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ผู้ฟังคงจะต้อง Be There อยู่กับคนตรงหน้า คือ ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ 100% ฟังด้วยใจเปิดกว้าง ไม่มีการปังธงไว้ในหัว และตลอดเวลาจะไม่เผลอคิด วิเคราะห์ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราปล่อยให้สมองของเรา ใช้ความคิดวิเคราะห์แล้ว แสดงว่า ขณะนั้นเรา ไม่ได้อยู่ใน สถานะ Be There แล้ว แต่เรากำลังอยู่กับตัวเอง หรือ Be here และในขณะนั้นเอง เราจะสูญเสียความสามารถในการได้ยินไปทันที นี่เองเลยเป็นเหตุทำให้ หลายต่อหลายครั้ง เราอาจจะไม่ได้ยินสิ่งที่ผู้พูดได้พูดหรือทำการสื่อสารให้กับเรา หรือแม้แต่ การเผลอคิดไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ เรื่องของคนโน้นคนนั้น ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งทำให้เรา กลายเป็น Be Overthere ไปทันที ส่วน Be Present อยู่กับปัจจุบัน คือ การอยู่กับเรื่องที่กำลังพูดคุย ไม่เผลอคิด ไปกับเรื่องในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือ เผลอคิด ไปกับเรื่องในอดีต ซึ่งก็อีกเช่นเดียวกันการเผลอคิดนี้ ก็จะทำให้เราจะสูญเสียความสามารถในการได้ยินไป

ดังนั้น เมื่อรู้แบบนี้แล้ว สำหรับใครที่อยากจะพัฒนาทักษะในการสื่อสาร อยากจะพัฒนาการเป็นผู้ฟังที่ดี หรืออยากจะพัฒนาการสร้างสัมพันธ์ที่ดีแก่คู่สนทนาของเรา รวมถึงเพิ่มประสิทธิผลของการสื่อสารและการฟังของตนเอง คงต้องเริ่มกลับไปให้ความสำคัญ ของคำสองคำนี้อย่างจริงจัง ฝึกเพื่อที่จะ Be There อยู่กับคนตรงหน้า และ Be Present อยู่กับปัจจุบัน เพื่อที่จะไม่เผลอตัวเผลอใจ กลายเป็น Be here อยู่กับตัวเอง และ Be Overthere อยู่กับสิ่งนั้นสิ่งโน้น จนสูญเสียความสามารถในการได้ยินไปในที่สุด