Potentiality and Belief

หากมีคนมาบอกคุณว่า “คนเรามีศักยภาพ 100% ซึ่งถูกบรรจุมาแล้วในตัวเราตั้งแต่เราเกิดมา แต่ที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่มักจะถูกนำเอาออกมาใช้มันแค่เพียง 3-5%” เสียงแรกที่เกิดขึ้นในหัวของคุณ มันได้บอกกับคุณ สื่อสารกับคุณว่าอย่างไร … จริงเหรอ? … นี่เราเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่? … ชั้นว่าชั้นน่าจะใช้มันมากกว่านั้นนะ? ฯลฯ ไม่ว่าคุณจะมีความคิดอะไรผุดขึ้นในหัวของคุณ แต่อยากให้คุณตระหนักว่า ความคิดนั้น หรือ เสียงเล็กๆ นั้น มันคือการสะท้อนถึง ความเชื่อ (Belief) ของคุณ ต่อ ศักยภาพ (Potentiality) ทีมีอยู่ในตัวคุณเอง

แต่มันจะดีแค่ไหนถ้าเราสามารถดึงเอาศักยภาพที่มีอยู่แล้วในตัวของเราเองออกมาได้มากขึ้นกว่าเดิม มากขึ้นกว่าที่เราเคยคิดว่าเราจะทำได้ มากขึ้นกว่าที่เราเคยจำกัดตัวเองเอาไว้ คนส่วนใหญ่มักจะจำกัดศักยภาพของตัวเองไว้ด้วยการ พกพาความเชื่อบางอย่างเข้ามาในชีวิตของตัวเอง โดยหารู้ไม่ว่าความเชื่อเหล่านั้น เป็นตัวสำคัญที่มาจำกัดศักยภาพของตัวเอง

ตัวอย่าง ของความเชื่อที่เป็นข้อจำกัดในการดึงศักยภาพของมนุษย์เรา ที่เห็นได้ชัด คือ เรื่องเล่าเกี่ยวกับการที่คนเราสามารถดึงเอาศักยภาพที่มีอยู่แล้วในตัวเองออกมาใช้ในยามคับขัน เช่น คนแบกตุ่มออกจากบ้านตอนไฟไหม้ ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว มนุษย์เราล้วนแต่มีศักยภาพเปี่ยมล้นในตัวเอง เพียงแต่ เรามักจะจำกัดมันไว้ ผูกมัดมันไว้ด้วยความเชื่อที่เป็นข้อจำกัดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในรูปของความคิด ที่ว่า “ชั้นคงทำมันไม่ได้หรอก” , “ชั้นยังไม่เก่งพอ” , “ชั้นไม่มีความสามารถเหมือนคนอื่น” , “เรื่องนี้ยากเกินไปสำหรับชั้น” หรือ แม้แต่การที่มักจะเอาการตัดสินใจ ลงมือทำอะไรบางอย่างไปผูกไว้กับผลตอบแทน หรือ สิ่งตอบแทน … ถ้ามีคนบอกให้คุณเลิกอะไรบางอย่าง เช่น บอกให้คุณสูบบุหรี่ (ในกรณีที่คุณติดบุหรี่) คิดว่า คุณจะมีโอกาสที่เลิกมันได้หรือไม่? แต่ถ้าบอกว่าถ้าเลิกบุหรี่ได้แล้ว จะให้เงินจำนวน 10 ล้านบาทเป็นรางวัล คุณคิดว่าความตั้งใจในการเลิกบุหรี่ รวมถึงโอกาสที่คุณจะเลิกมันได้ แบบไหนจะมีโอกาสมากกว่ากัน ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วสิ่งสำคัญที่สุด หาใช่เงินรางวัล แท้จริงแล้วมันเกิดจาก ความเชื่อ เชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง และตัดสินใจลงมือทำมันตามความเชื่อนั้น

มีบางคนถามว่า แค่เชื่ออย่างเดียวจะได้ผลจริงๆ เหรอ ? … คงต้องบอกว่า ถ้าหากยังเกิดคำถามแบบนี้ มันก็สะท้อนให้เห็นว่า คุณคงยังไม่ได้เชื่ออย่างแท้จริง หรือ แม้แต่บางคนก็บอกว่า เค้าก็เชื่อนะ แต่ไม่เห็นจะได้ผลเหมือนกับสิ่งที่เชื่อเลย ผมมักจะได้รับการถามถึงบ่อยๆ ในประเด็นนี้ คือ คนมักจะบอกว่าตัวเค้าเองก็เชื่อว่าเค้าจะประสบความสำเร็จ แต่ก็บอกว่าไม่เห็นจะประสบความสำเร็จเหมือนอย่างที่เชื่อเลย ขอตอบในประเด็นนี้เลย หากคุณมีความเชื่อต่อสิ่งนั้นอย่างแท้จริงแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นและเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นสอดคล้องกับความเชื่อที่คุณมี คือการที่คุณแสดงออกมาถึงพฤติกรรมที่สอดรับกับความเชื่อนั้น หากคุณเชื่อว่าคุณจะประสบความสำเร็จ สิ่งที่จะต้องสะท้อนให้เห็นว่าคุณจะประสบความสำเร็จได้ คงไม่ใช่ การที่คุณนั่งๆ นอนๆ งอมือ งอเท้า และ พร่ำบอกกับตัวเองว่า ชั้นเชื่อๆ ว่าชั้นจะประสบความสำเร็จ … ในทางกลับกันสิ่งที่ จะสะท้อนให้เห็นชัด คงไม่พ้น การที่คุณขยันขันแข็ง ขวนขวายหาความรู้ พัฒนาตัวเอง เรียนรู้จากผู้ประสบความสำเร็จ และตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างหาก ที่จะอธิบายได้ว่า เมื่อเรามีความเชื่อต่อเรื่องนั้นๆ อย่างแท้จริง สมองเราก็จะ Focus และดึงดูดเราไปสู่หนทาง แนวทาง แห่งความสำเร็จ สู่เป้าหมายตามความเชื่อของเรา

และบางคนอาจจะมีความสงสัย หรือ เกิดคำถามว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าความเชื่อที่เรามีอยู่นั้นมันถูกต้อง … ผมคงบอกไม่ได้เหมือนกันว่า ความเชื่อ ไหนถูกต้อง หรือ ไม่ถูกต้อง เพราะความถูกต้องมันเกิดจากการที่แต่ละคน ตีความ และ ให้ความหมาย เป็นไปได้ว่า เหตุการณ์ใดก็ตามหนึ่งเหตุการณ์ อาจจะส่งผล ให้เกิด ความเชื่อของคน ได้แตกต่างกัน เพราะ แต่ละคนก็เลือกที่จะตีความและให้ความหมาย ต่อเหตุการณ์นั้นๆ ได้แตกต่างกัน แต่สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำให้คุณพิจารณาความเชื่อที่คุณพกติดตัวมาอยู่ทุกวันนี้ ว่ามีความเชื่อใดบ้างที่ส่งเสริมให้คุณบรรลุเป้าหมาย ซึ่งควรจะพกติดตัวต่อไป แต่หากมีความเชื่อใดที่ไม่ส่งเสริมก็ควรที่จะหาทางกำจัดมันออกไป หรือหาทางเปลี่ยนแปลงความเชื่อนั้นเสียใหม่ และนอกจากนั้นให้พิจารณาว่า การที่คุณเชื่อแบบนั้น มันควรที่จะ ดีต่อตัวคุณเอง ดีต่อผู้อื่น และถูกต้องตามหลักศีลธรรมจรรยา

ถึงตอนนี้ คุณคงได้เรียนรู้แล้วว่า ความเชื่อที่คุณมี มีผลต่อศักยภาพในตัวคุณเอง คงต้องขึ้นอยู่กับตัวคุณตัดสินใจแล้วล่ะว่า คุณจะเลือกพกพาความเชื่อแบบไหนติดตัวคุณไป เพื่อปลดปล่อยศักยภาพที่มีอยู่ในตัวคุณออกมาแบบไร้ขีดจำกัด